Google

Monday, May 12, 2008

Premierleague : Tottenham 0 - 2 Liverpool

สนาม : ไวท์ ฮาร์ท เลน

ประตู : 0-1 อังเดร โวโรนิน น.69, 0-2 เฟร์นันโด ตอร์เรส น.74

ผู้ชม : 36,063 คน



"เอล นินโญ่" ทำลายสถิติของรุด ฟาน นิสเตลรอย ได้สำเร็จในนัดสุดท้ายของฤดูกาล ช่วยให้ "หงส์แดง" บุกมาถล่มงานอำลาดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ กับ "ไก่เดือยทอง" จนกร่อย


นัดนี้เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นเกมสุดท้ายของเบอร์บาตอฟกับสเปอร์สแล้ว โดยหลังจบฤดูกาลนี้หัวหอกชาวบัลแกเรียจะย้ายออกจากทีมไป ซึ่งฆวนเด้ รามอสก็ให้ลงเป็นตัวจริงตามปกติ


ด้านลิเวอร์พูลนัดนี้ราฟาเอล เบนิเตซ ยึดผู้เล่นชุดหลักๆลงเกือบครบทุกตำแหน่งแต่ปรับมาเล่น 4-4-2 โดยให้อังเดร โวโรนินมายืนคู่กับเฟร์นันโด ตอร์เรสในแดนหน้า และให้โอกาสเจ้าหนูเอมิเลียโน่ อินซัว ลงเป็นตัวจริงต่ออีกนัดเพื่อทดสอบระดับการเล่น


แต่ในช่วง 45 นาทีแรกนั้นเป็นเกมที่ค่อนข้างน่าเบื่อเนื่องจากทั้งสองทีมไม่มีโอกาสลุ้นทำประตูกันแบบจะแจ้งเลย โอกาส 2 ครั้งจริงๆที่น่าจะได้ลุ้นก็คือลูกที่โวโรนิน ได้ปรี่เข้าไปยิงตามน้ำในเขตโทษตั้งแต่นาทีที่ 10 แต่ก็ตรงตัวเชร์นี่


ส่วนสเปอร์สมาได้เสียวจากลูกโขกของเบอร์บาตอฟในช่วงกลางครึ่งแรกที่ทำให้เรน่าต้องผวาปัดออกไปด้วยปลายนิ้ว ก่อนที่จะไม่มีอะไรอีกจนจบครึ่งแรกก็เลยยังเจ๊ากันอยู่ 0-0


บอลมามีรสชาดมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังเมื่อหงส์แดงเริ่มเน้นขึ้น ส่วนสเปอร์สไปเปลี่ยนแดนกลางเอาทอม ฮัดเดิลสตันกับตีมู ไตนิโอลงมา ทำให้เกมเริ่มเป็นรอง


แค่ 2 นาทีหลังลงมาลุยกันใหม่ ตอร์เรส ก็ทักทายราเด็ค เชร์นี่ ประตูทีมเจ้าถิ่นที่ได้ลงสนามเป็นเกมสุดท้ายก่อนจะย้ายทีมเช่นกัน แต่จากนั้นสเปอร์สก็แอบมีเสียวจากลูกวอลเล่ย์ด้วยซ้ายของมัลบรองก์ แต่ไปแฉลบแนวรับลิเวอร์พูลออกหลังไป


แต่ถึงนาทีที่ 69 ลิเวอร์พูลก็มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 เมื่อสเคอร์เทล วางบอลให้ตอร์เรส โขกเช็ดต่อให้โวโรนิน ได้หลุดเข้าไปยิงในเขตโทษผ่านเชร์นี่เข้าไปสบายๆ


สเปอร์สเกือบจะได้ประตูตีเสมอเหมือนกันในอีกไม่กี่นาทีต่อมา เมื่อเบอร์บาตอฟ ได้ซัดลูกฮาล์ฟวอลเล่ย์เต็มๆน่าเข้าสุดๆ แต่เรน่า ที่กำลังลุ้นได้ถุงมือทองคำเป็นฤดูกาลที่ 3 ติดต่อกันก็โชว์ซูเปอร์เซฟปัดออกไปได้แบบสมราคา


ไม่ได้ประตูตีเสมอไม่พอยังต้องมาโดนทีเด็ดของตอร์เรสเล่นงานด้วย โดยดาวยิงสเปนได้บอลจากเบนายูนจนหลุดเข้าไปในเขตโทษ ก่อนจะลากจี้แล้วล็อกหลบดอว์สันจนหลังหักก่อนเข้าไปจิ้มบอลลอดขาเชร์นี่แบบเหนือสุดๆ เป็นประตูที่ 24 ในลีกซึ่งเป็นการทำลายสถิติของรุด ฟาน นิสเตลรอย ที่เคยทำไว้ในฐานะกองหน้าต่างชาติที่ยิงในฤดูกาลแรกได้มากที่สุด และถ้ารวมทุกถ้วยก็เป็นประตูที่ 33 แล้ว


ตอร์เรส ยังเกือบยิงประตูที่ 34 ให้ตัวเองได้อีกเมื่อได้ลองชิพบอลในช่วงท้ายเกมไปชนคานเข้าเต็มๆ ทำให้จบเกม "หงส์แดง" ก็เลยชนะไปแค่ 2-0 แต่ก็ถือเป็นการปิดฉากฤดูกาลที่สวยงามทีเดียว ยกเว้นแฟนไก่เดือยทองที่เซ็งปิดท้ายกับผลงานของทีมในเกมสุดท้าย



รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม/คะแนนความสามารถ


สเปอร์ส ราเด็ค เชร์นี่ 6, อลัน ฮัตตัน 5, ไมเคิล ดอว์สัน 4 (ดาร์เรน เบนต์ น.75 5), โจนาธาน วู้ดเกต 7, จิลแบร์โต้ 4, สตีด มัลบรองค์ 6, เจอร์เมน จีนัส 4 (ทอม ฮัดเดิลสตัน น.46 5), ดิดิเย่ร์ โซโกร่า 4, เจมี่ โอฮาร่า 5 (ตีมู ไตนิโอ น.46 5), ดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ 6, ร็อบบี้ คีน 5


สำรองไม่ได้ลงสนาม : พอล โรบินสัน, ปาสกาล ชิมบงด้าใบเหลือง : ฮัตตัน น.63




ลิเวอร์พูลโฆเซ่ มานูเอล เรน่า 7, อัลบาโร่ อาร์เบลัว 6, เจมี่ คาร์ราเกอร์ 6, มาร์ติน สเคอร์เทล 6, เอมิเลียโน่ อินซัว 5, เดิร์ค เคาท์ 5 (ลูคัส ไลวา น.80 5), สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด 7, ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ 6, ไรอัน บาเบิล 4 (ยอสซี่ เบนายูน น.59 6), เฟร์นันโด ตอร์เรส 8, อังเดร โวโรนิน 6 (สตีฟ ฟินแนน น.71 5)


สำรองไม่ได้ลงสนาม : ชาร์ลส อิตองด์เช่, ซามี่ ฮูเปียใบเหลือง : อินซัว น.58


ข้อมูลจาก: http://www.liverpool.in.th/readnews.php?id=5142

ผู้ตัดสิน : ยูราย เรนนี่

Tuesday, May 6, 2008

Premierleague : Liverpool 1 - 0 Man Cityประตู : 1-0

Premier League - Torres sees off sorry City
Eurosport - Mon, 05 May 08:59:00 2008



Fernando Torres scored his 32nd goal of the season as Liverpool secured a thoroughly deserved 1-0 win against Manchester City at Anfield.

In what was ultimately a match without consequence for either side, City were hopelessly bereft of attacking ambition and created little of note all afternoon. Sven-Goran Erikkson's team did little to further the cause of their manager.

Liverpool dominated the first half and came close to a lead on 20 minutes, when Ryan Babel's header from Dirk Kuyt's right-wing cross fizzed over the bar.
Kuyt and Torres were in fine form, buzzing with intent and running tirelessly to open space for their team-mates at every opportunity.
The home side's best chance of the opening period came just after the half-hour mark. Steven Gerrard cut in from the left and sent a wicked curling shot towards the far corner, only for Joe Hart to throw himself horizontal and produce a stunning fingertips save.
Somehow City went into the break level, but Liverpool's inevitable goal was not long coming. On 56 minutes, Torres burned past Richard Dunne and sent a low shot through Hart and in.
The goal signalled a period of dominance which should have ended the match as a contest. Hart saved well from Kuyt's crashing volley, and then Ryan Babel missed from five yards after Torres once again left Dunne for dead on the right.
Liverpool were creating chances left, right and centre, but lacked a clinical edge. As a result, City remained in contention and could have stolen a point with a greater degree of invention.
Aside from Elano's 25-yard free-kick early in the second half, which hit the post, City failed to fashion a single decent opening and allowed Liverpool to cruise home.
Rafa Benitez's side were far from joyous upon the final whistle. Still smarting from their Champions League defeat against Chelsea they set about the business of thanking supporters at Anfield for their loyal support with a noticeable lack of enthusiasm.

------------------------------------------------------------------
ตอร์เรส น.58
"หงส์แดง"ลิเวอร์พูลมาในชุดใหม่มีแถบขาดสามอันตรงบ่าที่จะใช้ในซีซั่นหน้าโดยราฟาเอล เบนิเตซปรับเปลี่ยนบางตำแหน่งโดยให้โอกาสอันซัวแบ็คอาร์เจนไตน์แทนยอห์น อาร์เน่ ริเซ่ในขณะที่ไลว่าเสียบตำแหน่งอลอนโซ่แต่ปีกขวาเดิร์ก เคาท์ยังปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน
ด้านแมนเชสเตอร์ ซิตี้ของ"เดด แมน วอล์กกิ้ง"สเวน โกรัน เอริคส์สันที่ไม่รู้จะอยู่ต่อในฤดูกาลหน้าหรือไม่จำเป็นต้องส่งชุดแกร่งลงเล่นเพื่อสร้างความประทับใจให้เสียแม้วอย่างเดียว
เริ่มเกมมาเป็นลิเวอร์พูลที่เป็นฝ่ายขึงเกมเข้าทำแต่ทั้งบาเบิ้ลและตอร์เรสเจอลูกหนังของจี ไห่และดันน์อย่างหนักแต่ผู้ตัดสินฮัลซีย์กลับปล่อยให้เกมให้ไหลซะงั้น
เล่นมา 12-13 นาทีทั้งคู่ยังไม่มีโอกาสส่องกันเลยโดยแนวรับยังเก็บกินได้หมดแต่โดยรวมแล้ว"หงส์แดง"พยายามหาทางเจาะเข้าทำอยู่เรื่อยๆ
นาที 20 เจ้าถิ่นต่อบอลกันสวยเริ่มตั้งแต่เจอร์ราร์ดที่กระชากจากกลางสนามออกแนวขวางสนามโดยมีไมเคิ่ล จอห์นสันวิ่งตีคู่มาก่อนล็อกแล้วเปิดยาวพุ่งไปหน้าเขตโทษให้ลูคัสที่ดีดต่อให้เคาท์เอาลงตรงกรอบโทษฝั่งขวาก่อนเปิดยัดมาที่เสาแรกให้บาเบิ้ลพุ่งมาโขกแต่สะบัดไม่ดีบอลออกหลังไปเอง
ลิเวอร์พูลมาเป็นชุดอีก 3 นาทีเคาท์พาบอลขึ้นมาหน้าเขตโทษก่อนไหลทะลุช่องตรงๆให้ตอร์เรสวิ่งฉีกจากกลางกรอบโทษมาทางขวาก่อนหักข้อยิงมุมแคบบอลบดถากออกหลังไป จังหวะนี้ค่อนข้างยากมาก
นาที 27 เจอร์ราร์ดเก็บตกบอลตรงหน้าเขตโทษระยะ 30 หลาหลังไอร์แลนด์ไปย่ำตอร์เรสเลยอัดบ้าพลังไกลบอลพุ่งเลียดต่ำพุ่งเป็นท่อเฉี่ยวเสาชนิดที่โจ ฮาร์ทต้องพุ่งสุดเอื้อมไว้ก่อน
อีก 4 นาทีไม่น่าเชื่อว่าลิเวอร์พูลจะไม่ได้ประตูหลังอันซัวเปิดบอลจากปีกซ้ายติดบล็อกก่อนมาตามเก็บตกแล้วจ่ายเลียดให้เจอร์ราร์ดจับบอลหนึ่งจังหวะในเขตโทษก่อนเอี้ยวตัวปั่นไซด์ผ่านตัวดันน์โค้งกำลังจะเบียดเสาไกลเข้าอยู่แล้วแต่ฮาร์ทบินปัดปลายนิ้วอย่างอลังการงานสร้างสุดๆ
เกมของเจ้าถิ่นเล่นเอามันส์มากขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะบาเบิ้ลที่จี๊จ๊าดได้ใจสุดๆแต่จังหวะสุดท้ายยังเล่นยากไปหน่อยเลยเสียของไปเอง จากนั้นหมดครึ่งแรกทั้งคู่ยังเสมอกัน 0-0 แบบได้ลุ้นกันเล็กน้อย
ครึ่งหลังเริ่มมาไม่ทันไรลิเวอร์พูลชวนทะเลาะบี้ก่อนเลยโดยเจอร์ดราร์ดแผลงฤทธิ์จ่ายบอลแต่ละทีป่วนแบ็คโฟว์ซิตี้ไปทั่วและนาที 47 จ่ายบอลดีดไซด์ก้อยจากกลางสนามตัดหลังคอร์ลูก้าให้ตอร์เรสวิ่งพรวดเดียวหลุดเข้าเขตโทษแต่ตัวแปยิงดันอยู่มุมแคบบอลเลยถากเสาไกลออกไป
นาที 51 เจ้าถิ่นเกือบพังเมื่อเปตรอฟปั่นฟรีคิก 25 หลาบอลโค้งข้ามกำแพงหนีมือเรน่าแต่ไปจูบเสาออกหลังเหลือเชื่อ
อีก 4 นาทีมาสเคราโน่ทำเรื่องเหลือเชื่อเมื่อกระชากหลบตรงริมเส้นฝั่งขวาก่อนมาแตะหนีซิตี้อีกคนทะลุเข้าเขตโทษแต่มาบ้าพลังยิงอัดด้วยอีซ้ายบอลพุ่งออกหลังไปนู่น เล่นเอาเพื่อนเซ็งเพราะยืนรอเข้าฮอร์ตอยู่ 2-3 คน
แต่แล้วนาที 58 ลิเวอร์พูลปลดล็อกทำประตูขึ้นนำจนได้จากจังหวะที่ไมเคิ่ล บอลล์สาดจากแบ็คซ้ายไปติดหัวเคาท์ก่อนเข้าทางตอร์เรสที่วิ่งกระชากหนีดันน์แล้วสไลด์ยิงบอลทะลุขาฮาร์ทเสียบหน้าต่างไกลเข้าไปเหมือนวันที่ยิงเอฟเวอร์ตันเป๊ะ "หงส์แดง"นำ 1-0 แล้ว เป็นลูกที่ 23 ของเอลนินโญ่ในพรีเมียร์ลีกรวมทั้งเป็นการยิงในแอนฟิลด์นัดที่ 8 ติดต่อกันอีกด้วย
เจ้าถิ่นยิ่งเล่นยิ่งได้ใจอีก 2 นาทีเกือบนำ 2-0 จากจังหวะเตะมุมของเจอร์ราร์ดบอลพุ่งโด่งเลยมาที่เคาท์ซึ่งทำเรื่องเหลือเชื่อเมื่อง้างเกือกหวดตามน้ำอย่างเหนือชั้นตรงกรอบ 6 หลามุมแคบบอลทะลุสองผู้เล่นทีมเยือนจนโจ ฮาร์ทต้องผวาปัดแถมไปตกตรงหน้าไลว่าที่ตีลังกายิงก็ยังปัดสองมืออีก
นาที 64 ลิเวอร์พูลน่าจะได้ประตูที่สองอย่างที่สุดหลังฟินแนนป้ายบอลคืนให้ฮูเปียเปิดครอสยอลหยังกะปีกขวาบอลโค้งไปเสาแรกเป็นเคาท์ที่ล้มตัวโขกเต้มๆบอลชนคานดังสนั่น
อีกนาทีเดียวตอร์เรสถูกดันตามเตะตามแยงตรงนอกรอบโทษฝั่งขวาแต่ก็ยังไปได้ก่อนหลุดถึงเส้นหลังแล้วตบให้บาเบิ้ลยิงโล่งๆคนเดียวไร้ตัวประกบแค่ 6 หลาแต่ปีกดัทช์ดันทำเรื่องง่ายให้ยากเมื่ออัดเต็มข้อบอลปลิ้นโด่งออกไปยังกะรักบี้
เกมช่วงนี้เปิดแลกกันสนุกเพราะไม่มีอะไรให้เสียด้วยกันทั้งคู่แต่ซิตี้ดูจะเล่นลำบากนิดนึงเพราะสเวนเปลี่ยนเอาสองตัวเทพอย่างเอลาโน่และเปตรอฟออกไปแล้ว
ก่อนหมดเวลา 9 นาทีเบนจานี่โชว์ทึกยิงฟรีคิก 30 หลาทะลุกำแพงร้อนถึงเรน่าต้องล้มตัวทุบออกไป
วันนี้มาสเคราโน่ตั้งใจจะทำประตูในแอนฟิลด์ส่งท้ายให้ได้และหลังเก็บตกบอลตรงกลางสนามพี่แกก็เลี้ยงดะฝ่าด่านตลุยขึ้นมาราวกับอดอยากปากแห้งจนถึงระยะทำการ 25 หลาซัดเต็มข้อ
แต่ฮาร์ทล้มตัวทุบออกหลังเป็นเตะมุมไป สุดยอด!!
อีกไม่ถึงนาทีคาร์ราเกอร์ก็สวนยิงไกลเหมือนกันแต่ติดบล็อกซะก่อน จากนั้นเวลาที่เหลือเรือใบพยายามจะตีเสมอให้ได้แต่ก็ไม่ทันจบเกมลิเวอร์พูลเบียดเอาชนะไปในสกอร์ 1-0 ที่เล่นกันสนุกสุดๆ

รายชื่อนักเตะทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล โฆเซ่ เรน่า 6,สตีฟ ฟินแนน 6,ซามี่ ฮูเปีย 7,เจมี่ คาร์ราเกอร์ 7,เอมิเลียโน่ อินซัว 7,ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ 7,ลูคัส ไลว่า 6(อลอนโซ่ น.74,6),เดิร์ก เคาท์ 7,สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด 7(โวโรนิน น.78,6),ไรอัน บาเบิ้ล 7(เบนายูน น.68,6),เฟอร์นานโด ตอร์เรส 8
สำรองไม่ได้ลงสนาม : อีตองด์เช่,สเคอร์เทล

แมนฯซิตี้ โจ ฮาร์ท 8,เวดราน คอร์ลูก้า 6,ริชาร์ด ดันน์ 6,ไมเคิ่ล บอลล์ 5,ซุน จี ไห่ 5,ดาริอุส วาสเซลล์ 6,สตีเฟ่น ไอร์แลนด์ 6,ไมเคิ่ล จอห์นสัน 6,มาร์ติน เปตรอฟ 6(ฮามันน์ น.67,5),เอลาโน่ 5(คาสติญโญ่ น.67,6),เบนจานี่ เอ็มวารูวารี 5
สำรองไม่ได้ลงสนาม : อีซัคส์สัน,เกลสัน

Thursday, May 1, 2008

CARRA: WE CAN HOLD OUR HEADS HIGH

Jimmy Rice at Stamford Bridge 01 May 2008


Jamie Carragher feels he and his teammates can be proud of the fight they put up at Stamford Bridge despite the agony of missing out on Moscow.
The Reds did what they've never done before in scoring in SW6 under Rafa's management to take the game down to the wire.
But it wasn't to be as extra-time goals from Frank Lampard and Didier Drogba saw Chelsea book their place in the first ever all-English European Cup final.

Carra told Liverpoolfc.tv: "We came down to Stamford Bridge and performed well, and I think everyone can be proud of the performance we put in, but the result is all that matters at the end of the day and Chelsea are through.
"Of course there is disappointment in the dressing room, especially because we have come down here and done well. We showed great character but the most important thing in any football match is the result, and Chelsea got it."
Some felt Liverpool could have had at least one penalty at the Bridge, though Carra is typically reluctant to make excuses. He continued: "Maybe we should have had a penalty on Sami Hyypia but there is no point complaining after the game. It's gone, Chelsea are through and it's their time to enjoy it. We have to accept it and move on.
"The first half we didn't play particularly well but from the second half onwards and the extra-time we came out with a lot of credit. Chelsea won and the result is always the main thing but we've got to be proud of the way we reacted and the way we performed and hope that that bodes well for the future. "It would have been a great final but I'm sure Chelsea v Man United will be a great final too. But it's not so much playing United, it's about getting to the Champions League final which is a fantastic achievement. The first final between two English clubs would have been great to have been involved in so that's a big disappointment."